วันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ ร้านสปูน เพ็ทช็อป มีบทความดีๆมาฝากค่ะ เกี่ยวกับไรในหูแมวค่ะ ถ้าใครสงสัยว่าแมวของเรามีไรหูหรือเปล่า หรือว่าไรหูเป็นยังไง ขี้หูดำๆในหูของเจ้าเหมียวของเราจะมีไรหูมั้ย ไปอ่านบทความนี้พร้อมๆกันเลยค่า =^_^=
ไรในหู : Ear Mite
สาเหตุ
เกิดจากการติดไรในหูที่มีชื้อว่า "Otodectes cynotis" หรือที่เราเรียกกันว่า "ear mite" มักชอบอยู่ในที่อับและมี ความชื้น
อาการ
เกา ที่ใบหูหรือสะบัดหัวไปมา ถ้าดูภายในหูจะพบขี้หูที่มีลักษณะเป็นสีดำหรือสีน้ำตาลเข้มเป็นจำนวนมาก รวมทั้งอาจพบน้ำ และบางกรณีอาจมีการอักเสบของหู ร่วมด้วยทำให้แมวรู้สึกคันมากและแมวจะแสดงออกโดยการเกาหรือสะบัดหัวไปมา
วิธีกำจัดไรในหูู
ไรในหูพบได้บ่อยมากในแมว และแมวจรจัดโดยส่วนมากมักได้รับการถ่ายทอดไรในหูมาจากแม่แมวหรือจากแมวละแวกนั้น
การกำจัดในหูอย่างชนิดถอนรากถอนโคนต้องใช้เวลานาน ไรที่อยู่ในหูจะกำจัดได้ง่ายด้วยการใช้ยาชนิดที่กำจัดไรในหูได้หรือใช้ยา Selamectin หยดไปบนหลังคอแมว การหยดมิเนอรัล ออยล์ (mineral oil) ลงไปในหูจะฆ่าไรส่วน ใหญ่ได้ แต่่ไม่อาจกำจัดไรพวกที่อยู่นอกหู ไรในหูสามารถแพร่ระบาดได้สูง ถ้าแมวตัวหนึ่งของคุณมีไรในหู ก็จะมีโอกาสสูงที่จะติดไปสู่แมวและสุนัขทุกตัวของคุณ ควรทำการบำบัดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อยสองสัปดาห์ เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถกำจัดปัญหานี้ได้หมดสิ้น
ไรหู สาเหตุสำคัญของการเกิดช่องหูอักเสบในสัตว์เลี้ยง
ไรหูเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่มีการระบาดติดต่อกันได้ง่ายมาก มีรูปร่างคล้ายเห็บ ถ้ามองด้วยตาเปล่าเราสามารถเห็นตัวไรเป็นจุดขาวเล็กๆได้ แต่โดยปกติจะต้องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์จึงจะเห็นตัวไรนี้ในขี้หู สัตว์ที่มีไรหูจะพบว่ามีขี้หูเปียกสีน้ำตาลออกดำคล้ายผงกาแฟ ขี้หูที่เห็นนี้จะประกอบด้วยขี้หู เลือด สารจากการอักเสบ และตัวไรหู ไรหูมักทำให้เกิดอาการคันและเกาหู สะบัดศีรษะ และยังพบว่าไรหูเป็นสาเหตุร่วมที่สำคัญที่ทำให้เกิดการอักเสบของแมว จากการสำรวจพบว่าเป็นสาเหตุร่วมถึง 50-84%
วงจรชีวิต
ไรหูจะอาศัยอยู่บนพื้นผิวของรูหู แต่อาจพบไรหูที่หน้าและหัวของสัตว์เลี้ยงได้ ไรหูจะวางไข่ซึ่งจะฟักเป็นตัวหลังจากนั้น 4 วัน ตัวอ่อนที่ออกมาจากไข่จะกินขี้หูและไขมันจากผิวหนังเป็นเวลา 1 สัปดาห์ จากนั้นก็จะลอกคราบเป็นตัวกลางวัย ตัวกลางวัยระยะที่ 3 จะผสมกับตัวเต็มวัยเพศผู้ (ในขณะที่ตัวกลางวัยนี้ยังไม่มีการพัฒนาเพศ) หลังจากนั้นตัวกลางวัยระยะที่ 3 นี้จะลอกคราบเป็นตัวเต็มวัยเพศผู้หรือเพศเมีย ถ้าเป็นเพศเมียก็จะมีไข่ ไรตัวเมียจะวางไข่ครั้งละ 1 ฟอง ไรตัวเต็มวัยจะมีชีวิตประมาณ 2 เดือน และดูดกินเนื้อเยื่อของเหลว หรือเศษผิวหนังกำพร้าบริเวณใบหูที่ลอกหลุดออกมาเป็นอาหาร วงจรชีวิตของไรชนิดนี้จะใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ ไรหูนี้สามารถพบได้ทั้งในสุนัขและแมว
สัตว์เลี้ยงติดไรหูได้อย่างไร
ไรหูสามารถติดต่อจากสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งไปยังอีกตัวหนึ่ง โดยการสัมผัสโดยตรงกับสัตว์ที่มีไรหูอยู่ ไรหูนี้สามารถติดต่อกันได้ง่ายมาก การรักษาจึงจำเป็นต้องรักษาสัตว์เลี้ยงทุกตัวในบ้านด้วย
ไรหูทำให้เกิดอันตรายอะไรบ้าง
ไรหูนี้จะมีส่วนปากที่ยาว เวลากินอาหารจะใช้ส่วนปากเจาะลงไปในผิวหนังของหู น้ำลายของไรหูจะทำให้เกิดการอักเสบและอาจมีการติดเชื้อเกิดขึ้นได้ เนื่องจากสัตว์เลี้ยงที่มีไรหูนี้มักจะสะบัดหัวบ่อยๆ คันบริเวณหู และใช้เท้าเกาบริเวณหู ซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนตามมาได้
ไรหูติดต่อกันได้ไหม
มีผลิตภัณฑ์มากมายที่ใช้กำจัดไรหู ส่วนใหญ่มีส่วนผสมของยาฆ่าแมลงซึ่งจะไม่ทำลายไข่ของไร ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่างน้อย 21 วัน เพื่อทำลายวงจรชีวิตของไรให้หมด
ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ใช้ในการกำจัดไรหูจะเป็นยาหยดเฉพาะที่ที่ใช้หยด บนผิวหนัง ตัวยาจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและทำลายพยาธิต่างๆในร่างกาย จากนั้นก็จะมียากลับมาสะสมที่ผิวหนังอีก แต่จำเป็นต้องทำความสะอาดหู เพื่อขจัดขี้หูและเศษเนื้อเยื่อที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองออกไปจะทำให้การ รักษาประสบความสำเร็จ ในบางครั้ง อาจมีการเข้าใจว่าสัตว์เลี้ยงมีไรหู และเจ้าของได้ใช้ผลิตภัณฑ์ทุกชนิดแล้ว แต่ก็ยังคิดว่ามีการติดไรหูอยู่ อาจมีสาเหตุมาจาก
1. สัตว์เลี้ยงได้รับการยืนยันจากสัตวแพทย์ว่าติดไรหูหรือไม่ เนื่องจากบางครั้งการเห็นขี้หูสีน้ำตาลเกือบดำในรูหู ก็อาจไม่ใช่สาเหตุจากไรหูก็ได้ การวินิจฉัยควรตรวจสอบด้วยเครื่องมือตรวจหู เพื่อหาตัวไรหูด้วยและยืนยันด้วยการดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
2. มีการตรวจวินิจฉัยหลังจากรักษาไรหูหรือไม่ เนื่องจากบางครั้งจะพบว่าสัตว์เลี้ยงยังมีการติดเชื้อแทรกซ้อนจากแบคทีเรีย อยู่ แม้ว่าตัวไรจะถูกกำจัดไปหมดแล้วก็ตาม
3. สัตว์เลี้ยงทุกตัวในบ้านได้รับการรักษาหรือไม่ ถ้าคำตอบคือไม่ จำเป็นจะต้องเริ่มการรักษาใหม่และรวมเอาสัตว์เลี้ยงทุกตัวในบ้านเข้ารับการ รักษาด้วย ดังนั้นควรนำสัตว์เลี้ยงไปรับการตรวจวินิจฉัยจากสัตวแพทย์เสียก่อนที่จะ เริ่มการรักษา
ไรหูแมวตัวเป็นๆ ตามลิ้งก์นี้ไปชมกันได้เลยค่ะ https://www.youtube.com/watch?v=aJNgZ4-FErk
ขอบคุณภาพประกอบและข้อมูลดีๆจาก http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=wimzaa&group=23=^_^=
http://www.catthailand.com/contentnews.asp?GID=12
และ pantip.com/jatujak/topicstock/2007/05/J541731/J5411731.html